ต้นคีเปล ผลไม้พระราชา ทำให้กลิ่นกายหอม เมล็ดนำเข้า (ร้านนี้ต้นไม้เสียหาย มีเคลมให้)
ต้นคีเปล (สูง 25-30 ซม.) เพาะเมล็ด อายุกล้า 8-9 เดือน
✅สั่งได้ 35 ต้น/ 1 กล่อง/ 1 คำสั่งซื้อ
(เกิน 35 ต้น รบกวนลูกค้ากดสั่งซื้อใหม่ เนื่องจากระบบมีเลขติดตามพัสดุแค่ 1 เลขครับ)
🌳 ต้องการซื้อเยอะ มีราคาเรทพิเศษ ทักแชทสอบถามข้อมูลได้เลยครับ
🌳 รับประกันสินค้า หากต้นหัก เสียหายมีเคลมให้
ชื่อสามัญ Kepel
ชื่อวิทยาศาสตร์ Steleshocarpus Burahol (Blume) Hook. F-Thoms (Annon)
ชื่อวงศ์ ANNONACEAE
คีเปล เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ จัดเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับกระดังงา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ในสมัยโบราณ ต้นไม้ชนิดนี้จะปลูกได้เฉพาะในพระราชวังเท่านั้น บุคคลทั่วไปห้ามปลูกโดยเด็ดขาด ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินจะให้มเหสีหรือนางสนมรับประทานผลของคีเปล เพื่อให้มีกลิ่นกายหอม นับได้ว่าเป็นพรรณไม้ที่แปลกและหายากอีกชนิดหนึ่ง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
•ลำต้น ลำต้นมีความสูงตั้งแต่ประมาณ 10-21 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 40 ซม. เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาล เรียบ แตกกิ่งก้านสาขามากมาย
•ใบ มีลักษณะเป็นรูปรี โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบมีสีเขียวเป็นมัน มีขนาดความกว้างประมาณ 3-5 ซม. ยาวประมาณ 6-8 ซม. ใบที่ยังอ่อนอยู่จะมีสีแดงอมชมพู ออกเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกันที่ปลายกิ่ง
•ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและกิ่งก้าน ในแต่ละช่อประกอบไปด้วยดอกย่อยสีเหลืองขนาดเล็กจำนวนหลายดอก มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 4 กลีบ มีเกสรรวมกันเป็นกระจุกอยู่บริเวณกลางดอก ให้ดอกได้ประมาณปีละ 2 ครั้ง เมื่อดอกบานจะส่งกลิ่นหอมแรงไปตลอดทั้งวัน
•ผล มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมขนาดใหญ่เท่ากำมือ ติดผลบริเวณลำต้นเป็นจำนวนมาก ผลอ่อนมีสีน้ำตาลผิวหยาบ ต่อมาจะกลายเป็นสีขาวอมเหลืองผิวเรียบ และเมื่อแก่จัดจะมีสีน้ำตาลเข้ม ก้านผลยาวห้อยลงมา เนื้อภายในผลมีสีเหลืองฉ่ำน้ำ รสหวานและหอมมาก หลังจากติดดอกมาได้ประมาณ 3-4 เดือน ก็จะเริ่มให้ผล ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม และในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม การติดผลในช่วงแรกจะดกกว่าในช่วงที่สอง
•เมล็ด มีลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดใหญ่สีน้ำตาลเข้มอมดำ เปลือกเมล็ดแข็ง ในแต่ละผลจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 3-6 เมล็ด
ประโยชน์ ผลมีรสหวาน กลิ่นหอม เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้เหงื่อและกลิ่นตัวหอมสดชื่น และยังมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยให้ถ่ายปัสสาวะได้คล่องไม่ติดขัด สิ่งที่ถูกขับถ่ายออกมาจากร่างกายไม่มีกลิ่นแรงจนเกินไป และยังสามารถปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือนได้ เนื่องจากมีใบอ่อนสีแดงอมชมพูสวยงาม แถมยังให้ดอกสีเหลืองงดงามส่งกลิ่นหอมแรงไปตลอดทั้งวัน เมื่อให้ผลก็ใช้รับประทานได้ด้วย จึงควรอนุรักษ์ต้นไม้หายากและมีประโยชน์ชนิดนี้ไว้ เพื่อไม่ให้สูญพันธุ์